“ทำไมเพื่อนบางคนใช้จ่ายเงินทองได้อย่างอิสระกว่าเรา ทั้งที่อายุก็ใกล้กัน ทำงานเงินเดือนก็ใกล้เคียงกัน” นั่นก็เพราะเค้าเข้าใจว่า การสร้างความมั่งคั่งและรายได้ไม่ได้มาจากการ ใช้แรงทำงานเท่านั้น ทุกคนสามารถสร้างรายได้ด้วยแนวทางอื่นๆ เช่น การนำเงินไปลงทุน หรือพูดง่ายๆ ว่า ให้เงินทำงานแทนเรา เพื่อสร้าง รายได้ที่เรียกว่า Passive Income เช่น เงินปันผลที่ได้รับจากการลงทุน ในกองทุนรวม
หุ้นปันผล รายเดือน ข้อดีของการลงทุนในกองทุนรวมคือ จะมีมืออาชีพ เช่น ผู้จัดการกองทุนมาบริหารการลงทุนของเราให้งอกเงย เงินน้อย เงินมากก็ลงทุนได้ โดยจะนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น พันธบัตร หุ้น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ตามนโยบายการลงทุนที่กองทุนกำหนด เมื่อกองทุนรวมเติบโตและมีกำไรก็จะนำเงินส่วนนั้นมากระจายผลตอบแทนให้กับผู้ร่วมลงทุน ซึ่งเป็นการเพิ่มรายได้จากการลงทุนโดยไม่ต้องลงแรงใดๆ เลย และด้วยการสะสมหน่วยลงทุนจำนวนมากๆ รายได้ประจำจากการลงทุน หรือ Passive Income ไว้ใช้ยามเกษียณหรือวันหยุดทำงานได้ หุ้น ปันผล สูง พื้นฐานดี 2566
4 ขั้นตอน สร้าง Passive Income จากกองทุนรวมปันผล หุ้นปันผล รายเดือน
1.กำหนดเป้าหมายเป็นจำนวนเงินปันผล
เช่น เป้าหมายคือ หุ้นปันผล รายเดือน ต้องการมีเงินปันผลเดือนละ 10,000 บาทหรือปีละ 120,000 บาท และคิดว่าการลงทุนในกองทุนรวมจะได้ผลตอบแทนเป็น เงินปันผลคิดเป็น 6% ต่อปี ดังนั้น เราก็ต้องมีเงินลงทุนเป็นเงินต้นอย่างน้อย 2,000,000 บาท ขึ้นไป จึงจะได้รับเงินปันผลตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ หรือถ้าต้องการ เงินปันผลต่อเดือนมากขึ้นก็ต้องเพิ่มเงินต้นให้มากขึ้น หรือเลือกลงทุนในกองทุนรวม ที่คาดหวังว่าจะให้ผลตอบแทนสูงขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่าลืมประเมินระดับ ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตนเองด้วย
2.วางแผนออมเงินและต่อยอดลงทุน
เพื่อสะสมเงินลงทุนเป็นเงินต้นที่สามารถสร้างเงินปันผล ให้เราได้ตามเป้าหมาย เช่น ต้องการเงินต้นจำนวน 2,000,000 บาท วางแผนการออมให้ได้เดือนละ 5,000 – 10,000 บาท และทยอยลงทุนในกองทุนรวม ตามเป้าหมาย สำหรับคนที่มีความพร้อมและเริ่มออม ก่อนก็จะสามารถต่อยอดการลงทุนไปถึงจำนวนเงิน เป้าหมายได้เร็วกว่า
3.เลือกกองทุนรวมที่มีผลการดำเนินงานดีและจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ
เช่น กองทุนรวมหุ้นปันผล กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และกองทุนรวมหุ้น ระยะยาว (LTF) แบบมีเงินปันผล ซึ่งให้สิทธิประโยชน์ทาง ภาษีเพิ่มเติมอีกด้วย
4.สร้างวินัยในการลงทุนอยู่เสมอ
ด้วยการลงทุนอย่างต่อเนื่องและเพิ่มจำนวนเงินลงทุนให้มากขึ้น ตามรายได้ของเราที่เพิ่มขึ้น เช่น ในทุกปีกำหนดให้เพิ่มเงินลงทุน อย่างน้อย 10% ต่อเดือน หรือกำหนดให้เพิ่มเป็นจำนวนเงิน 2,000 บาทต่อเดือน เพียงแค่นี้ก็จะสามารถต่อยอดการลงทุนให้ ประสบความสำเร็จได้เร็วยิ่งขึ้น และท้ายที่สุดแล้วก็จะยิ่งได้รับ เงินปันผลมากขึ้นจากจำนวนเงินต้นที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
ตัวอย่าง : เป้าหมายคือ สะสมเงินต้นเป็นมูลค่าเงินลงทุนในกองทุนรวมหุ้นปันผล 2,000,000 บาท เพื่อจะได้รับเงินปันผล เดือนละ 10,000 บาท
แผนออมเงิน : ในที่นี้ขอยกตัวอย่างแผนการออมเงิน 3 วิธี ให้เลือกวิธีที่เหมาะสมกับฐานะการเงินของเรา
- วิธีที่ 1 ออมเงินเท่ากันทุกเดือน เดือนละ 5,000 บาท จะใช้ระยะเวลา 14 ปี 5 เดือน
- วิธีที่ 2 เริ่มต้นออมเดือนละ 5,000 บาท และเพิ่มเงินลงทุนอย่างน้อย 10% ต่อเดือนทุกปี จะใช้ระยะเวลา 11 ปี 4 เดือน
- วิธีที่ 3 เริ่มต้นออมเดือนละ 5,000 บาท และลงทุนเพิ่มเดือนละ 2,000 บาททุกปี จะใช้ระยะเวลา 8 ปี 11 เดือน
เทคนิคการเลือกหุ้นปันผล
1. เป็นธุรกิจที่ดีมีการเติบโต
2.มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง
- โครงสร้างหนี้เหมาะสม
การที่บริษัทจะจ่ายปันผลได้ต้องมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ซึ่งสามารถดูได้จากโครงสร้างหนี้ว่ามี “หนี้สินต่อทุน” (D/E Ratio) มากเกินไปหรือไม่” และหนี้สินที่มีอยู่เป็นหนี้ระยะสั้นหรือระยะยาว เพราะหากมีหนี้ระยะสั้นจำนวนมาก บริษัทอาจต้องใช้เงินก้อนใหญ่เพื่อจ่ายหนี้ในเวลาอันใกล้ อาจทำให้ความพร้อมที่จะปันผลน้อยลง - กำไรสะสมเป็นบวก
นอกจากดูโครงสร้างหนี้แล้ว เรายังสามารถดูจาก “กำไรสะสม” โดยปกติบริษัทจดทะเบียนจะนำกำไรส่วนที่เหลือจากการปันผลให้กับผู้ถือหุ้นมาเก็บเป็นกำไรสะสม หากบริษัทไหนยังขาดทุนสะสมอยู่ แม้จะมีกำไรสุทธิระหว่างงวด แต่บริษัทอาจพิจารณานำกำไรเหล่านั้นไปชดเชยในส่วนที่ยังขาดทุนสะสมอยู่ ทำให้ผู้ถือหุ้นอาจไม่ได้รับเงินปันผลก็ได้ - กระแสเงินสดเป็นบวก
นอกจากดูโครงสร้างหนี้แล้ว เรายังสามารถดูจาก “กำไรสะสม” โดยปกติบริษัทจดทะเบียนจะนำกำไรส่วนที่เหลือจากการปันผลให้กับผู้ถือหุ้นมาเก็บเป็นกำไรสะสม หากบริษัทไหนยังขาดทุนสะสมอยู่ แม้จะมีกำไรสุทธิระหว่างงวด แต่บริษัทอาจพิจารณานำกำไรเหล่านั้นไปชดเชยในส่วนที่ยังขาดทุนสะสมอยู่ ทำให้ผู้ถือหุ้นอาจไม่ได้รับเงินปันผลก็ได้
3. มีสภาพคล่องในการซื้อขาย
4. จ่ายปันผลสม่ำเสมอ
โดยทั่วไปเราจะดูความสม่ำเสมอในการจ่ายปันผลจาก “อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน” (Dividend Yield) ซึ่งอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ฯ จะอยู่ที่ประมาณ 3% ดังนั้น หุ้นปันผลที่เราควรลงทุน อาจต้องให้อัตราเงินปันผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยและเมื่อรวมกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น 1-2% ต่อปี เท่ากับว่า… อัตราเงินปันผลตอบแทนที่เราควรได้จากหุ้นปันผลควรมากกว่า 4-5% ต่อปี